
อินเดีย คงเป็นประเทศที่ใครหลายคนไม่คิดที่จะมา.. เพราะในตอนแรกโบเองก็ไม่ได้มีประเทศนี้ ไว้ในแพลนเที่ยวเหมือนกัน 5555
แต่แล้ว…
อินเดีย ก็กระโดดแทรกเข้ามาในแพลนซะงั้น พอเริ่มบอกใครหรือชวนใครไป ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าาา
ไม่กลัวหรอ อันตรายนะ สกปรกนะ ข่าวไม่ดีเยอะแยะเลย ไม่มีประเทศนี้ในหัวเลยย่ะ
ไม่เป็นไร ยังไงเราต้องไปลอง ทริปนี้ตะลุยกับเพื่อนผู้หญิงกันแค่ 2 คนเท่านั้นค่ะ
แนะนำให้ไปเยอะๆ จะได้รู้สึกอุ่นใจดี 55555
พวกเรามีเวลาเตรียมตัวแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น สำหรับทุกสิ่ง วีซ่า โรงแรม ตั๋วเครื่องบินเอย รถเช่าพร้อมคนขับเอย
ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้พวกเราเน้นกินดีบ้าง เอาอาหารจากไทยไปบ้าง ที่พักสบาย พูดได้ว่าราคาที่จ่ายไป คุ้ม!! มาก
สิ่งของที่เตรียมไป
– อาหารที่เตรียมไป มาม่า นั่นเองงง ขอบอกว่ากลับมาไม่เหลือซักอย่าง 55555
– ทิชชู่เปียก แห้ง จำเป็นมากค่ะ
– อย่าลืมยาสามัญประจำบ้านน๊า

วีซ่า
– สำหรับประเทศอินเดียต้องใช้วีซ่าค่ะ ซึ่งก็ใช้เวลาอนุมัติแค่ 72 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ตามที่แจ้งไว้ในเว็บ
แต่สำหรับพวกเราประมาณ 24 ชั่วโมง
อินเดียเดินทาง
ทั้งๆที่เป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วยนะ ก็ได้วีซ่ามาครอบครอง รวดเร็วจริงๆ
– การได้วีซ่ามาก็ไม่ยากค่ะ ขอได้จากเว็บไซต์ ซึ่งประเภทของวีซ่า คือ E-Visa เมื่อได้มาแล้ว มีอายุ 60 วัน สามารถเดินทางได้ 2 ครั้ง มีค่าใช้จ่าย 51 USD ชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งช่วงที่โบไปเป็นเดือน เมษายน 2561 คูณค่าเงินแล้วอยู่ที่ประมาณ 1600 บาทค่ะ
ตั๋วเครื่องบิน – อินเดียเดินทาง
– สายการบินที่ราคาตรงใจเรา ได้แก่ Air Asia เนื่องจากเราจองล่วงหน้าเพียงแค่ 2 อาทิตย์
เลยได้ราคามา 9355 บาท รวมน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ลองเช็คราคาดูแล้ว ยิ่งจองไว้นานยิ่งได้ถูกกว่านี้เด้อ
เงิน
– โบแลกเป็นดอลล่าไปส่วนนึง แต่ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะตอนไปถึง ไม่ได้แลกที่สนามบินชัยปุระ โรงแรมก็ไม่รับดอลล่า
– ส่วนใหญ่พวกเราใช้บัตรเครดิตและเงินรูปีที่แลกไปค่ะ โบก็พยายามแลกเป็นแบงค์ย่อยด้วย
เพราะได้ข้อมูลมาว่า คนอินเดียส่วนใหญ่ไม่ทอนเงินกัน
แต่ แต่ แต่…พอไปถึง เค้าก็ทอนกันนะคะ
เห็นมั้ย ก็ยังมีอะไรดีๆให้ได้เจออยู่น๊า
– สำหรับเงินรูปีไม่ได้มีให้แลกทุกร้านแลกในไทยค่ะ ใครสะดวกแลกที่ไหนแนะนำโทรไปสอบถามกันก่อนน๊า
ตัวอย่าง กรณีโบต้องการแลกซุปเปอร์ริชสีเขียวที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
เลยสอบถามทางเพจของSuperich เจ้าหน้าที่แจ้งว่า สาขานี้ต้องจองล่วงหน้าก่อน 1 วัน ถ้ามีพร้อมแลกแนะนำให้ไปสาขาราชดำริค่ะ
แต่พวกเราไม่สะดวกไป เพราะกลัวไปไม่ทันไฟล์ท เนื่องจากเวลากระชั้นชิดและขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง
เลยเปลี่ยนใจไปแลกที่ร้านลินดา แถวสะพานควายค่ะ ก็มีรูปีพร้อมให้แลกเลย
– ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ อยู่ที่ประมาณ 17,000 บาท
รวมช๊อปปิ้ง ทุกสิ่งอย่าง ถ้าใครชอบที่พักประหยัด ไม่ช๊อปปิ้งและจองตั๋วเครื่องบินได้ล่วงหน้านานกว่าพวกเรา ก็จะเซฟลงไปได้อีกเยอะเลยค่ะ
รถเช่าพร้อมคนขับ
– เรื่องการเดินทางในอินเดีย พวกเราตัดสินใจหารถเช่าพร้อมคนขับค่ะ ซึ่งหาข้อมูลกันเยอะมาก
ทั้งจาก Blogger กระทู้ Pantip แอพ TripAdvisor ดูรีวิว เปรียบเทียบราคา จนเป็นที่น่าพอใจแล้ว
ก็ได้รถของบริษัท Ranthambore Tour Cab สนนราคาที่ 10,000 รูปี หรือ 5000 บาท
สำหรับ 2 คน ก็เหลือแค่ 2500 บาทต่อคนเท่านั้น ระยะเวลา 5 วัน ซึ่งเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
ในส่วนของยี่ห้อของรถยนต์เป็น Etios ค่ะ หรือ Vios บ้านเรานี่เอง เช่าเหมาทั้งทริปเลย ตั้งแต่ Jaipur ถึง Agra ค่ะ


– ส่วนคนขับดีมากค่ะ เป็นไกด์ไปในตัว อยากได้อะไรหรือไม่อยากได้อะไร ตกลงกันได้
ทั้งแนะนำพวกเราในสิ่งที่พวกเราควรทำหรือไม่ควรทำ เช่น เรื่องขอทาน “ยูไม่ต้องให้เงินนะเดี๋ยวยูโดนรุมนะ”
“เรื่องการต่อราคาให้ยูต่อเกินครึ่งเลยนะ” และพาไปร้าน Himalaya (เค้าบอกคนไทยที่ใช้บริการรถเค้า นี่ชอบซื้อกันทุกคน 5555)
เค้าจัดแพลนให้พวกเราแน่นเอี๊ยด คอยดูแลเราเป็นอย่างดี ตอนแรกพวกเราวางแพลนมา แต่เค้าเปลี่ยนแพลนพวกเรา
ซึ่งโบคิดว่าไปตามแพลนเค้าแหละถูกต้องแล้ว เพราะเค้าจะรู้สถานที่ ที่ควรไปในเวลาที่เหมาะสมค่ะ
– หากใครอยากใช้บริการ ก็สามารถติดต่อได้ที่อีเมล์ ranthamboretourcab@gmail.com หรือ
What’s app +918426887669 เลยค่ะ ตอบไวเว่อร์
ซิมการ์ด
– เรื่องซิมการ์ด โบเลือกใช้ของ Ais One2Call ค่ะ Sim2fly นั่นเอง เลือกใช้โปร 299 บาท เพราะมีซิมอยู่แล้ว
ได้เน็ต 4GB ก่อนกลับมายังไม่หมดเลยค่ะ สัญญาณดี บางที่ไม่มีสัญญาญก็จะเป็นสถานที่ที่เราผ่านไปบนเขา หรือหุบเขาค่ะ
แพลนการเดินทาง
วันที่ 1 พักผ่อน เนื่องจากถึงชัยปุระช่วงดึกค่ะ ไฟล์ท 18:00 – 21:15 เดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
วันที่ 2 เที่ยวในชัยปุระ นอนที่ชัยปุระ
วันที่ 3 เดินทางไปอัคราแวะเที่ยวระหว่าง เที่ยวในอัครา พักที่อัครา
วันที่ 4 ไปทัชมาฮาล เดินทางกลับชัยปุระ และพักที่ชัยปุระ
วันที่ 5 เที่ยวในชัยปุระต่อถึงช่วงเย็น และเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ
รายละเอียดที่พักและสถานที่ท่องเที่ยว ก็ตามไปดูกันเลย
ทริปนี้ได้ภาพสวยๆ โดย
– กล้อง
Fuji XA-3
มี Lens คู่ใจ Fujinon XF 23mm F2 ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 1
สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ คุณสมาชิกหมายเลข 4474220
สมายล์-ดาด้า ขอขอบคุณมากๆนะคะ ที่แชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวและการใช้งาน SIM2Fly ของเอไอเอสที่ประเทศอินเดียให้เพื่อนๆ Pantip นะคะ
ความคิดเห็นที่ 2
– Ibis Jaipur Hotel จากแอป Traveloka
ในราคา 984 บาท/คืน เพียง 492 บาท/คน เท่านั้นค่าาาา รวมอาหารเช้าอีก อื้อหือออ ยิ้มกรุ้มกริ่มในใจ

วันที่ 2
คนขับรถนัดมารับพวกเรา 9:00 น. ตื่นเช้ามาพวกเราก็กินอาหารเช้ากันก่อนเลย ที่ Ibis Jaipur Hotel
มีอาหารเช้าของอินเดียอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งก็บอกตรงๆกันเลยว่าพวกเรากินไม่ได้ 5555
คนอื่นอาจถูกปาก แต่มันไม่ถูกปากพวกเราเลย ก็เลยเลือกอะไรที่เป็นสากล เช่น คอนเฟล็ก ขนมปัง
และที่ขาดไม่ได้คือ มาม่าที่เอาไปเอง-อินเดียเดินทาง


ระหว่างทางคนขับรถ ขอแวะซื้อองุ่นเพื่อใช้ล่อลิงให้ถ่ายรูปกับเรา อื้มมม..ดูมีความใส่ใจ

บ้านเรือนแถวนั้น ก็จะประมาณนี้

ถึงแล้ว
– Galta Ji Temple หรือวัดลิง
ที่นี่ไม่ได้อยู่ในแพลนพวกเราค่ะ ไม่ใช่ไม่รู้จักว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เราคิดกันเอาเองว่าไม่เห็นมีอะไรเลย
แต่.. ที่นี่เป็นที่ที่ประทับใจที่นึงเลยค่ะ


ที่นี่ลิงเยอะมาก แต่เค้าไม่ทำร้ายเรานะคะ เค้าก็อยู่ของเค้า ไม่น่ากลัวค่ะ

คนเฝ้าประตูทางเข้า เค้าจะเก็บ 50 รูปี สำหรับกล้อง 1 ตัว
ก่อนเข้าไป คนขับรถบอกว่า “ยูต้องบอกยูมีกล้องตัวเดียวนะ”
พอเราเข้ามาคนเฝ้าประตูเค้าเห็นเราถือโทรศัพท์ เค้าก็ชี้เพื่อจะเก็บเราเพิ่ม เราก็บอกว่าไม่ใช้ถ่ายรูปค่ะ
ก็เก็บเข้ากระเป๋าไป ก็ได้จ่ายเพียง 50 รูปี ตามนั้น-
อินเดียเดินทาง
เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว มันไม่ได้อลังการอะไรมากมาย แต่มันได้ฟีลความขลัง ยังไงบอกไม่ถูก 5555


มีเด็กผู้ชายคนนึงเค้าพยายามจะล่อให้ลิงขึ้นมานั่งบนไหล่โบอยู่นาน ซึ่งตอนแรกโบไม่ยอมนะ ก็กลัวอ่ะ
คือ น้องเค้าและคนขับรถจะพยายามล่อลิง ให้เราได้ถ่ายรูปใกล้ชิดกับลิง
พวกเค้าก็ช่วยกันล่อลิงด้วยองุ่น อยู่นานสองนาน ไอ้เราก็เออเอาวะ สุดท้ายก็ได้ภาพนี้มา 5555 ดูไปนางน่ารักนะ

ที่อินเดียเนี่ย บางคนเค้าชอบเสนอทำอะไรเพื่อเรา โดยเรียกเงินจากเราทีหลัง เช่น ขอถ่ายรูปให้เรา หาได้จากสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่
แต่สำหรับน้องผู้ชายคนนี้พอโบยื่นให้น้อง น้องไม่รับค่ะ พวกเราให้ด้วยความเต็มใจ
เพราะเห็นถึงความตั้งใจความพยายาม ที่เค้าช่วยให้เราได้มีภาพน่ารักๆ น้องต้อนรับนักท่องเที่ยวคนอื่นแบบที่ทำกับพวกเราเช่นกัน
ทำให้รู้สึกประทับใจน้องมาก แต่เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพน้องมา ก็เลยยื่นให้แม่ของน้องค่ะ แม่น้องก็รับไปทันที
ไปกันต่อค่ะ ที่….
– Hawa Mahal พระราชวังสายลม

มีลักษณะประกอบด้วยหน้าต่างขนาดเล็กจำนวน 953 บาน เพื่อให้นางในวัง สามารถมองทะลุออกมาเห็นชีวิตภายนอกบนท้องถนนได้
มีลวดลายฉลุตกแต่งเพื่อไม่มีใครสังเกตเห็นนางจากด้านนอก
พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยหินทรายสีชมพู และสีแดง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระค่ะ
ที่นี่พวกเราไม่เสียค่าเข้า เพราะถ่ายรูปแค่ด้านนอกค่ะ

พวกเราแชะภาพกันด้านหน้าแล้ว ก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม ขึ้นไปยังร้าน
–Wind View Cafe เพื่อเก็บภาพในมุมที่กว้างขึ้น

พักดื่มน้ำซักแปป ราคาก็ไม่แพง พวกเราดื่มน้ำอัดลมกันก็ประมาณ 25 บาท
สามารถนั่งได้นาน เก็บภาพได้จนกว่าจะพอใจ

ที่ต่อมา
– City Palace พระราชวังสีชมพู


ที่นี่มีค่าเข้าชม 500 รูปี แต่ถ้าอยากเข้าชมแบบ Exclusive ต้องจ่าย 2500 รูปี ซึ่งพวกเราคิดไตร่ตรองกันมาตั้งแต่อยู่ไทยว่า
พวกเราจะยอมจ่าย เพราะมาทั้งทีอ่ะเนอะ เมื่อเราจ่ายเรียบร้อย จะมีไกด์นำพวกเราเข้าไป

ไกด์ก็จะเล่าประวัติของพระราชวังให้เราฟัง จะมีห้องต่างๆ สำหรับมหาราชา ในนั้นจะมีทั้งหมด 7 ชั้น
ไกด์พาเดินไล่กันตั้งแต่ขึ้นชั้นดาดฟ้าแล้วเดินลงมาทีละห้อง ทีละชั้น เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว




และก็พาเราไปพบกับ Artists ผู้วาดภาพให้มหาราชา ซึ่งเค้าก็ได้วาดภาพให้พวกเราเป็นของที่ระลึกด้วย
โดยสีที่ใช้ เป็นสีจากธรรมชาติล้วน

จุดสุดท้ายไกด์พาพวกเราลงมาที่ห้องดินเนอร์ ไกด์บอกว่าห้องนี้ยังใช้งานอยู่ ซึ่งก็ไม่อนุญาตให้พวกเราถ่ายภาพห้องนั้นมา
ไกด์พานั่งพักหน้าห้องนี้ค่ะ พร้อมเครื่องดื่ม ชากาแฟ น้ำอัดลม น้ำเปล่า ขนม ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในราคา 2500 รูปี เรียบร้อย


จากนั้นก็ออกมาถ่ายรูปบริเวณรอบๆ City Palace



แต่ไกด์ไม่ได้เรียกทิปเพิ่มค่ะ รวมเวลาที่เราใช้ไปใน City Palace ทั้งหมด 3 ชั่วโมงจากที่เหนื่อยกันมาครึ่งค่อนวัน ก็มาทานอาหารกันที่
– Cafe Palradio


ร้านอาหารตกแต่งได้อย่างน่ารัก รสชาติอาหารดีค่ะ อาหารหลากหลายสไตล์

ทุกเมนูที่เราสั่ง ถึงแม้จะเป็นสไตล์ฝรั่งแต่รสชาติ Include ความเป็นแขกนิดๆ 5555 พวกเราสั่ง2 อย่าง
รวมเครื่องดื่มก็จ่ายไป 940 รูปี หรือ 470 บาท

คนที่มาใช้บริการเป็นชาวต่างชาติก็เยอะค่ะ คนอินเดียที่ดูภูมิฐานก็มี ในส่วนของห้องน้ำสะอาดมาก
ถ่ายรูปกันได้ตามอัธยาศัย

หลังจากทานอาหารกันเสร็จ คนขับรถพาพวกเราไปซื้อ
– Himalaya
ถูกใจฉันนัก ผลิตภัณฑ์ของเค้าประกอบด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติเกือบทั้งหมดค่ะ
โบใช้เองก็รู้สึกได้ว่าของเค้าก็ดีนะ Eye cream, Lip balm, Face wash สุดฮิต

ต่อมาพวกเราแวะกันที่
– Albert Hall ตรงนี้ไม่เสียค่าเข้าชม เพราะไม่ได้เข้าไปด้านในค่ะ ก็ถ่ายรูปกันด้านหน้า
คนขับรถของเรา ก็ไล่นกพิราบเข้ากล้องให้พวกเราถ่ายรูปอีก ลงทุนจริงๆ


พวกเราไปต่อกันที่
– Jai Mahal พระราชวังกลางน้ำ มีภูเขาเป็นฉากด้านหลัง ไม่เสียค่าเข้าชม เพราะเข้าไปไม่ได้
ที่นี่ตั้งแต่พวกเราจอดรถ จะมีพ่อค้าแม่ค้าชาวอินเดียฮาร์ดเซลล์หนักมาก ไม่ต้องสบตานะคะ
คนขับรถบอกมา ต้อง No! อย่างเดียวเลยค่ะ เพราะเค้าจะตื้อมากๆ

ที่สุดท้ายของวันนี้ นั่นคือ
– Nahagrah Fort สร้างขึ้นเพื่อช่วยคุ้มครองพระนครจากการรุกรานของข้าศึก
สถานที่แห่งนี้อยู่บนภูเขา ระหว่างทางขึ้นจะมีนกยูงออกมาเดินตามข้างทางให้เห็นกันบ่อยๆ อยู่ที่ไทยจำได้ว่าเคยเห็นที่สวนสัตว์
แต่ที่นี่ คือ เดินกันเหมือนมาเดินเล่น 5555
ที่นี่จ่ายค่าเข้าคนละ 200 รูปี และค่านำรถเข้าอีก 40 รูปีค่ะ ราคานี้รวมเครื่องดื่ม 1 ขวด
ก็มีให้เลือกหลายอย่างนะ พวกเราเลือกดื่มน้ำอัดลม



คือ มันใหญ่มากกก เป็นป้อมที่เห็นวิวเมือง Jaipur ได้ทั้งเมืองเลยค่ะ มันดีมากกก วิวสวย
นั่งดูพระอาทิตย์ตก แสงสวย เหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างยิ่ง


พระอาทิตย์ตกแล้ว กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันค่ะ กินมาม่า อร่อยที่สุดแล้วจังหวะนี้ 5555
ความคิดเห็นที่ 3
ไปๆมาๆอินเดียก็น่าไปใช่ย่อยเลย
ความคิดเห็นที่ 4
ความคิดเห็นที่ 5
พวกเราจัดเตรียมกระเป๋า เดินทางไป Agra กันตั้งแต่เช้า ก่อนออกจากJaipur คนขับรถพาเราไปลองชิม
– ชา Chai กัน ใครมาต้องลองนะ ไม่ลอง คือ มาไม่ถึงชัยปุระ
คนขับรถบอกว่า “ที่นี่ Famous นะยู”สังเกตมั๊ย ว่าไม่ค่อยมีผู้หญิง ไปที่ไหน ผู้ชายบ้านเค้าเยอะมากก

เห็นสถานที่ทำชา ไอ้เราก็กล้าๆกลัวๆ จะกินดีมั้ย

พอได้กิน อื้อหือ อร่อย เข้มข้น อาการท้องไส้ปกติ ถือว่าผ่านค่ะ

เราเดินทางกันต่อค่ะ จอดรถติดไฟแดง ก็อาจเจอเคาะกระจกขอกันแบบนี้ ไม่ต้องตกใจ

เส้นทางการเดินทาง ในส่วนของถนนเค้าดีค่ะ จ่ายเงินค่าทางด่วนกันตลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้รวมอยู่ในค่าเช่ารถพร้อมคนขับแล้ว
ซึ่งโบจ่ายให้คนขับรถไปในวันที่ 2 ของการเดินทาง
จอดรถจ่ายค่าทางด่วนที ก็โดนขายของที

– ห้องน้ำระหว่างทาง
ระหว่างทาง เพื่อนดันอยากเข้าห้องน้ำปวดหนักกลางทาง เลยขอให้คนขับแวะเข้าห้องน้ำ
จอดที่แรกเพื่อนบอกว่า มันเข้าไม่ได้ มันไม่มีน้ำ ทำไมเค้าไม่ใช้น้ำกัน มันไม่มีถังขยะ ห้องน้ำก็เลยมีแต่ขยะ
มันบอกไม่มีที่จะยืน สภาพแบบส่ายหัวหนักมาก
เลยบอกให้คนขับรถแวะที่ต่อไป คือ ปั้มน้ำมันใหม่ ย้ำว่าใหม่ ซึ่งที่นี่ก็รับไม่ได้อีกเช่นกัน มีชักโครก มีน้ำ แต่ไม่กด
เลยสันนิษฐานกันเอาเองว่า เค้าใช้ชักโครกกันไม่เป็น ส่วนห้องข้างๆเป็นส้วมซึม มองเข้าไปก็ บึ้มๆๆ
ก็หายปวดไปเลยทันที ลืมไปเลยว่าปวด
เลยอยากแนะนำว่าให้ทำธุระให้เสร็จกันตั้งแต่ที่โรงแรมนะคะ
ภาพอันชวนอึ้งในห้องน้ำระหว่างทางนั้น ใครก็คงไม่อยากเจอกันใช่มั๊ย 5555
นั่งรถไปซัก1-2 ชั่วโมง ประมาณ 95 กิโลเมตร ก็แวะเที่ยวกันที่
– Chand Baori Stepwell
มีลักษณะเป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ลึกที่สุดในอินเดีย

ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งในถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Batman ค่ะ


ดูเสร็จถ้าไม่ซื้อก็บอกเลยนะคะว่าไม่ซื้อ พูดตรงๆไปเลย อ้อมค้อมนี่โดนตื้อแน่นอน

แต่เดี๋ยวก่อน.. คนขับรถพาแวะอีกแล้ว ก่อนถึงAgra 30 กิโลเมตร เราก็ไม่ค่อยอยากแวะเท่าไหร่
เพราะเดินทางกัน 4-5 ชั่วโมง ค่อนข้างเพลียกัน และเป้าหมายของเราในวันนี้ก็คือ Agra Fort ที่เมืองอัครา
แต่คนขับรถบอก “แปปเดียวๆ”อ่ะโอเค แปปก็แปป
เค้าพาเราขึ้นรถตุ๊กๆ หรือ ที่เรียกันว่า Rickshaw เพราะเอารถยนต์เข้าไปไม่ได้
ก่อนเดินทางมาอินเดีย พวกเราคิดว่า เช่ารถพร้อมคนขับแล้ว คงจะไม่ได้นั่งหรอก ใจก็อยากลองนั่งบ้างเนอะ



– Bhulan darwaja คือ ประตูชัยขนาดใหญ่มาก อลังการอีกแล้ว
พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านใน ยืนถ่ายรูปเฉพาะด้านนอกเท่านั้นค่ะ

ทั้งขอถ่ายรูปให้พวกเรา พวกเราก็ตามสไตล์ No No No!! ลูกเดียว
เด็กขอทานแถวนั้น วิ่งมาแตะตัวก็มีนะคะ เพราะฉะนั้นก็ระวังกันนิดนึงเด้อ ก็ไม่เข้าใจ
เค้าเห็นพวกเราเป็นของแปลกหรืออะไร 55555


– Agra fort ถึงแล้วววค่า

ที่ล้อมรอบด้วยป้อมปราการขนาดใหญ่ ประวัติศาสตร์ว่ากันว่า หลังจากที่กษัตริย์ชาห์ จาฮาล สร้างทัชมาฮาล
สำหรับฝังศพพระมเหสีเรียบร้อยแล้ว จึงมีพระประสงค์จะสร้างหอคอยหินอ่อนสีดำ เพื่อฝังพระศพพระองค์เอง
แต่พระโอรสไม่เห็นด้วย ประกอบกับมองเห็นว่าพระบิดามัวแต่ทุ่มเทเงินและเวลาสร้างสุสาน(ทัชมาฮาล)ให้พระมารดา
ทรงโศกเคร้าจนไม่มีเวลาทำงานให้กับบ้านเมือง จึงจับพระบิดาขังไว้ที่ป้อมอัคราแห่งนี้ จนสิ้นพระชนม์ในท่านั่งมองทัชมาฮาล


ประหยัดไปได้เยอะทีเดียว ตอนเข้าไปก็โชว์ Passport พร้อมตั๋วเข้า ให้กับคนตรวจสอบตั๋วนะคะ
ว่าเราได้รับส่วนลดจาก Passport ไทยจริง












แถมแวะเที่ยวอีกหลายที่อีกต่างหาก ด้านหน้าของ Agra Fort ก็ระวังลูกตื้อของรถม้า รถตุ๊กๆกันนิดนึง แทบสะกิดกันเลยทีเดียว
พวกเรายืนรอคนขับรถมารับ ก็ยืมดมกลิ่นฉี่ตามกำแพงกันไป เป็นเรื่องปกติของอินเดียค่ะ


เข้าสู่คืนที่ 3 เราพักที่ Redisson Blu Agra จองได้จากเว็บ Agoda ที่นี่อยู่ในวลีที่ว่า กินดีอยู่สบายของจริง

บริการดี ห้องดีมาก ระดับ 5 ดาว สะอาด อยู่ใกล้ทัชมาฮาลเพียงเดินแค่ 300 เมตร ได้ของดีและถูกแบบนี้ น้ำตาจะไหล



ความคิดเห็นที่ 6
ความคิดเห็นที่ 7
ช่วงนี้กระทู้อินเดียเยอะยั่วใจเหลือเกิน
แต่กระทู้นี้คือความแตกต่าง
คือเช่ารถพร้อมคนขับ
ส่วนมากเห็นใช้รถไฟกันมากกว่า
รออ่านต่อนะครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 8

ไม่ต้องสนใจนะคะ ยืนรอรถฟรีเงียบๆเท่านั้นคนขับรถของเราบอกเราว่า มันมีรถฟรีเด้อ ไม่ต้องไปฟัง 5555
จะได้ถุงคลุมรองเท้าและน้ำ 1 ขวด



เพราะที่นี่ค่อนข้างตรวจสัมภาระอย่างละเอียดมาก ไม่นำลิปสติก ไม้เซลฟี่ ปากกา ขาตั้งกล้องมานะคะ มีการค้นตัวด้วยเด้อ



ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ พระองค์หลงใหลและหลงรักนางตั้งแต่พระชนมายุ 14 พรรษา
หลังจากพิธีอภิเษกสมรส พระองค์ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย
ครั้นในปี พ.ศ.2174 พระมเหสีสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 ทำให้พระจักรพรรดิ
โศกเศร้าอยู่ถึง 20 ปี ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างทัชมาฮาล
หลังจากนั้นพระองค์ถูกกักขังอยู่ 8 ปี ใน Agra Fort ใช้เวลาจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล
และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระองค์ถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างพระมเหสีที่พระองค์ไม่เคยลืม
ป่ะ ไปดูความสวยงามกันเลย





และมีที่กั้นไว้ไม่ต้องกลัวนะคะ คนเยอะมาก จริงๆแล้วพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่า พระศพถูกฝังลึกลงไปมากกว่านั้นหรือไม่



ความคิดเห็นที่ 9

ความคิดเห็นที่ 10
ความคิดเห็นที่ 11
ก็ออกเดินทางกัน 9:00 น. วันนี้เก็บกระเป๋าขึ้นรถเพราะเที่ยวเสร็จเราจะกลับไทยกันแล้ววววที่แรกของวันสุดท้าย
เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดูและศิลปะราชปุต สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
เนื่องจากมีขนาดกำแพงปราการที่ใหญ่และแน่นหนา
พวกเราร้องโอ้โหกันตั้งแต่ทางขึ้น จะขึ้นยังไงไหววะเนี่ย

แต่ไม่รวมทิป ที่ควาญช้างตื้อเอากับเรานะคะ ถ้าไม่ให้ตามที่เค้าอยากได้ ก็ประมาณ 100 รูปี
ก็จะประมาณว่า “ไอไม่ปล่อยยูลงนะ” 5555 แต่จริงๆแล้วมีป้ายบอกนะ ว่าห้ามให้ทิป

มองดูอาจจะไกล แต่เดินจริงๆไม่ไกลนะ
สะกิดบ้าง ก็ไม่ได้ให้ตามเคยค่ะ จะเจอทุก 50 เมตรเลยจริงๆ



ก็จ่ายกันไป คนละ 500 รูปี หรือ 250 บาท
เดินออกมาได้ 5 ก้าว เอ๊ะ!! มาดูตั๋วทำไมใบนึง 500 รูปี แต่อีกใบ 100 รูปี อ้าวว เกิดอะไรขึ้น??
เลยรีบเดินเอาเข้าไปให้คนขายตั๋วดู “นี่ยูให้มาน่ะ ใบนึงมัน 100 รูปี สำหรับบัตรนักเรียนนะ
เราไม่ได้ยื่นบัตรนักเรียน เราต้องได้บัตรสำหรับผู้ใหญ่สิ” ฮีก็จัดการตั๋วใบใหม่มาให้เราทันทีได้ของถูกไม่ได้ดีเสมอไปนะคะ ตรงนี้จะเกิดปัญหา เพราะตอนเข้าไปด้านใน และตอนกลับออกมา
จะมีคนเช็คตั๋ว ถ้าเราไม่มีบัตรนักเรียนยืนยันพร้อมตั๋ว คงต้องไล่ให้เราไปซื้อตั๋วใหม่ หรืออาจเรียกเงินเพิ่มรึป่าว
ตรงนี้เราไม่อาจรู้ได้ และเราก็คงไปเรียกร้องไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ทักท้วงตั้งแต่ตอนซื้อตั๋ว
เพราะฉะนั้น ตรวจสอบให้ดีนะคะ




พวกเราก็พยายามเกาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นไปด้วย





ตรงนี้แหละเราจะขึ้นไป
ในจังหวะที่เราจะเดินขึ้นชั้นบน แต่ลักษณะทางขึ้นแคบและซับซ้อนมาก ก็มีคนดูแลด้านใน
ใส่เครื่องแบบ เดินมาถามเราว่า เราจะไปไหน เราตอบไปว่าเราจะไปเดินถ่ายรูป
เค้าก็เดินนำเราไปเลย บอก “เดี๋ยวไอจะพายูไปด้านบนสุดนะ”
ไอ้เราก็จะไปอยู่แล้วไง เค้าก็เดินนำไป วกวนมาก
ตอนนั้นเริ่มกลัว พอมาถึงด้านบน แม่เจ้า!ไม่มีใครเลย เค้าก็เฝ้าเรา ไม่ไปไหน
พยายามจะถ่ายรูปให้เราสองคน พวกเราก็บอก No No!! เราถ่ายเองดีกว่านะ
ถ่ายไปซักพัก ดื่มด่ำแดดไป
ซักพักมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ผู้ชายล้วนเดินขึ้นมา เรารีบปลีกตัวลงไปเลย
ผู้คุมเค้าก็เดินตามพวกเราอีกนะ พอพวกเราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น
พวกเราก็เดินตามกลุ่มทัวร์นั้นไปทันที ไม่รู้ทำไม เห็นชาวต่างชาติที่นี่จะอุ่นใจที่สุด
ผู้คุมเดินตามพวกเรามาทัน ก็ยังชี้ให้เราไปทางที่เค้าจะพาเราไปอีกอ่ะ เรารีบเดินออกทันทีเลย
ไม่รู้เค้าต้องการทิปจากพวกเรามั้ย หรือเค้าต้องการบริการเราจริงๆ แต่พวกเรากลัวค่ะ
เพราะบางจุดในนั้นมันมืด มันแคบ มันซับซ้อน เลยไม่ไปด้วยดีกว่า
ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เป็นผู้หญิง 2 คนก็ต้องกลัวไว้ก่อน
ออกมาได้ เราก็รีบเดินออกเลยค่ะ ก้าวแทบไม่ทัน 55555

ความคิดเห็นที่ 12
– Panna Meena ซึ่งอยู่ใกล้กับ Amber Fort นั่นเอง
จริงๆที่นี่โบหาข้อมูลมา เค้าไม่ให้ลงไปข้างล่างนะคะ แต่ผู้คุมสถานที่จะเรียกจากเรา 100 รูปีต่อคนก็เชิญลงได้


ซักพักคนขับรถก็ไล่เราลงไปถ่ายรูปเลย เราก็อ่ะ ลงก็ลง
จนกระทั่งมีคนเริ่มมาเยอะ คนคุมก็ตะโกนบอกเรา “ขึ้นมาเซ้ะ ลงไปทำไม”อ่าาาา.. 55555 โอเคขึ้นก็ขึ้น เงินก็ไม่ได้ให้ เพราะคนเยอะ เค้าได้แต่มอง แต่ไม่รับค่ะ


ปากบ่อน้ำ ทางเดินแคบ ระวังแพะมันจะวิ่งเบียดเราตกนะคะ เพราะชาวบ้านนำแพะมากินอาหารที่นี่ค่ะ

– Fort Restaurant


แต่ราคาดีงาม เราสั่ง 3 อย่างรวมเครื่องดื่ม หมดไป 600 บาท เท่านั้น ห้องน้ำดี คนมาทานอาหารก็ดูดีนะคะ โดยรวมเลิศ แนะนำค่ะ


เปิดเพลงดี พึ่งได้ยินเพลงสากล ก็ที่นี่ล่ะค่ะ 5555 นั่งฟังเพลง นั่งพักกันไป
ที่สุดท้ายที่เราจะไปก่อนไปสนามบินคือ
– Patrika Gate ตั้งอยู่วงเวียน Jawahar ใกล้สนามบินเลยค่ะ
ประตูซุ้มสวยมาก จะมีภาพวาดแต่ละซุ้ม
ตอนที่มาถ่ายรูปที่นี่ มีกลุ่มผู้ชายอินเดียอยู่ราวๆ 10 คน ไม่มีผู้หญิงเลย แล้วเค้าก็มองโบเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม 5555
สงสัยถ่ายรูปเยอะไป ถ่าย 100 ได้ 10 รูป ตามสไตล์ชะนี โปรดจงเข้าใจ
จะบอกว่า อย่าสนใจนะคะ คนที่นี่เค้าชอบมอง บางคนหยุดยืนมองก็มี เดินแซงมามองหน้าเฉยๆก็มี เพื่อนโบเห็นนี่ขำกันใหญ่
มาที่นี่ต้องไม่สนใจ 55555
ปล.เล็กๆน้อยๆ
ผ้า สำหรับโบเป็นสิ่งสำคัญมาก ช่วยปกปิดใบหน้าจากแสงแดด
และ..จากผู้ชายอินเดียค่ะคุณ อินเดียเดินทาง
ไม่ใช่เพราะสวยนะ เพราะคนอินเดียเค้าชอบถ่ายรูปค่ะ
บางคนตั้งกล้องถ่ายด้านหน้าเราเลย บางคนก็จะขอเข้ามาถ่ายรูปด้วย
บางทีเค้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่แซวเรามั่ง ก็แอบกลัวค่ะ ได้ยินข่าวมาเยอะ เลยพยายามพรางตัวสุดๆ 5555
ทำถึงขนาดนี้ไม่ใช่เล่นๆนะคะพี่น้อง เค้ามาขอถ่ายจนเหนื่อยเลยนะคะ บ้ากล้องมาก ขอเตือน

ไม่ใช่แค่อินเดียที่ต้องระวังตัวนะคะ อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกที เซฟตัวเองตามวัตนธรรมของเค้าไว้ ดีที่สุดค่ะ
ส่วนตัวโบเอง จะให้เฉพาะผู้หญิง เด็ก หรือคนที่มาเป็นครอบครัวถ่ายเท่านั้นค่ะ
ช่วงพบปะประชาชนก็มา
สัตว์ทั้งหลายจะมารวมที่ถนน ไม่ต้องแปลกใจ
ช้าง ม้า วัว กระรอก งู อูฐ แพะ สุนัข ลิง


ไม่ต้องบอกนะว่ารักหรือเกลียด จะไปทำวีซ่า Multiple
เข้าได้หลายๆครั้งใน 1 ปี เอาไว้เลยแหละ ❤️
อินเดียเดินทาง
72 ความคิดเห็น